Vitamin Drip คืออะไรเเละเหมาะกับใครบ้าง


IV-Drip หรือที่เรียกกันว่า “Vitamin Drip” และ “วิตามินบำบัด”

หมายถึงการให้วิตามินหรือสารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำเข้าสู่ร่างกายซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ต้องการความรวดเร็ว ปลอดภัย เห็นผลไว และใช้เวลาในกระบวนการทำไม่นาน การทำ Vitamin Drip เป็นการให้วิตามินที่ได้รับความนิยม

Vitamin Drip แตกต่างการให้สารอาหาร วิตามิน หรือเกลือแร่ในรูปแบบอื่นๆ เช่น การรับประทาน การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การอมใต้ลิ้น รวมถึงการทาครีมเพื่อให้ดูดซึมผ่านทางผิวหนัง ในการทำ Vitamin Drip นี้จะสามารถนำวิตามินและเกลือแร่เข้าสู่หลอดเลือดและส่งผลในการบำรุงร่างกายได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย การดูดซึม หรือถูกคัดกรองผ่านด่านใดๆ หลังจากนั้นจึงจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระโดยไม่มีการสะสมหรือตกค้างเป็นอันตรายอยู่ในร่างกาย

ด้วยประโยชน์ดังกล่าวจึงมีการปรุงสูตรขึ้นหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล  ทั้งนี้ในการปรับสูตรสารน้ำเหล่านี้หากต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่เกิดอันตรายในการบำบัด ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำทุกครั้ง โดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้

  1. เข้ารับการตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร อุณหภูมิกาย น้ำหนัก และ ส่วนสูง ซึ่งจำเป็นต่อการคำนวณปริมาณและความเข้มข้นของสารน้ำ รวมถึงอัตราเร็วในการให้สารน้ำเพื่อมิให้เกิดผลข้างเคียงอีกด้วย
  2. พบแพทย์เพื่อปรึกษาถึงปัญหาสุขภาพที่กังวล ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการแพ้ยา รวมถึงการให้ข้อมูลสุขภาพโดยรวม เพื่อที่แพทย์จะได้ให้คำแนะนำในการดูและเลือกสูตรสารน้ำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  3. เจาะเลือด เพื่อประเมินสภาวะของร่างกายว่าสามารถทำ Vitamin Drip ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ รวมถึงช่วยในการปรับปริมาณความเข้มข้นของวิตามิน ความถี่และจำนวนครั้งในการบำบัดที่เหมาะสม

ผู้ที่เหมาะกับการทำวิตามินบำบัด

  1. ผู้ที่รู้สึกร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ป่วยง่าย รู้สึกว่าร่างกายตนเองไม่ค่อยแข็งแรง
  2. ผู้ที่มีปัญหาด้านผิวพรรณ ผิวไม่สดใส หมองคล้ำ
  3. ผู้ที่มีเกราะป้องกันผิว หรือ Skin barrier ไม่แข็งแรง เป็นสิวง่าย ไม่ว่าจะเป็น สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือ สิวผด หรือผู้ที่มีผื่นคันผิวหลังเรื้อรัง ลมพิษเรื้อรัง
  4. ผู้ที่มีปัญหาด้านการนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ ระดับภูมิคุ้มกันต่ำ
  5. ผู้ที่มีปัญหาด้านระบบการเผาผลาญ
  6. ผู้ที่มีปัญหาด้านภูมิแพ้เรื้อรัง เช่น คัดจมูกง่าย ไอจามบ่อยๆ ไมเกรนและไซนัสเรื้อรัง
  7. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  8. แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป

แต่ในการบำบัดนี้ยังมีข้อควรระวังสำคัญอีกหลายประการ ที่ท่านควรทราบและต้องแจ้งแก่แพทย์ที่ปรึกษาก่อนทำ ดังนี้

  1. หญิงตั้งครรภ์ หรือ หญิงให้นมบุตร
  2. ประวัติการแพ้ยา หรือ วิตามินใดๆ รวมถึงลักษณะอาการที่แพ้เป็นอย่างไร
  3. โรคประจำตัว และยาที่รับประทานเป็นประจำ
  4. ภาวะไตเสื่อมหรือไตวายเรื้อรัง หรือผู้ที่ต้องล้างไตสม่ำเสมอ
  5. เป็นโรคตับรุนแรง
  6. เป็นโรค G6PD
  7. รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด
  8. รู้สึกไม่สบาย มีไข้สูง
  9. มีผื่นหรือแผลบริเวณที่จะสอดเข็มเพื่อให้สารน้ำ เช่น ข้อพับแขน ข้อมือ หลังฝ่ามือ
  10. กำลังอยู่ในช่วงอดอาหาร หรือ ควบคุมน้ำหนัก

กระบวนการต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะทำให้ท่านได้รับการบำบัดดูแลสุขภาพได้อย่างปลอดภัยอันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อีกทั้งการทำ Vitamin Drip นี้ควรจะทำในสถานพยาบาลที่มีทีมแพทย์ พยาบาล และเครื่องมือพร้อมช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน จึงจะทำให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล


ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการทำวิตามินบำบัด

โดยปกติแล้วสิ่งที่อาจพบได้ภายหลังการดริปวิตามินจะมีเพียงรอยเข็มเป็นจุดแดงเล็ก ๆ ภายหลังการเจาะเส้นเลือดเพื่อให้สารน้ำเท่านั้น ซึ่งรอยดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน แต่หากผู้ป่วยมีอาการแพ้วิตามินอาจมีอาการ คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดท้อง มีผื่นขึ้นตามตัว ปวดท้อง หรือใจสั่นได้ หากเกิดอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์โดยด่วนที่สุด


“You are what you eat” แพ็กเกจ Vitamin Drip

แพ็กเกจความงามอื่นๆ คลิ๊ก