การเจ็บแน่นหน้าอกเป็นอาการที่หลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นจากการออกกำลังกายหนักๆ หรือเกิดขึ้นเฉยๆ ในระหว่างวัน แต่คำถามที่หลายคนกังวลคือ "เจ็บแน่นหน้าอกเป็นสัญญาณของโรคหัวใจหรือเป็นเพียงกรดไหลย้อน?" การทราบถึงความแตกต่างระหว่างอาการของทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
อาการเจ็บแน่นหน้าอกจากโรคหัวใจมักเกิดขึ้นกลางหน้าอก และอาจรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักกดทับ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการแสบหรือปวดร้าวไปยังแขนซ้าย คอ หลัง หรือขากรรไกร รวมถึงรู้สึกเหนื่อยหอบ เหงื่อออกมาก และคลื่นไส้
อาการมักจะเกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงาน และจะทุเลาลงเมื่อหยุดทำกิจกรรม นอกจากนี้อาการยังมักเป็นอยู่ไม่นาน แต่ถ้าเจ็บนานกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
คนที่มีกรดไหลย้อนมักจะรู้สึกแสบร้อนบริเวณกลางอก และมีอาการเรอเปรี้ยวหรือมีน้ำลายไหลมาก นอกจากนี้ยังอาจมีอาการไอ หรือเสียงแหบ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารมื้อหนัก หรือเมื่อนอนราบ
อาการของกรดไหลย้อนมักไม่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย และมักจะทุเลาลงเมื่อยืนหรือนั่งตรง ในขณะที่อาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจมักจะแย่ลงเมื่อเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรม
สาเหตุหลักของการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจคือการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเกิดจากการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ
ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ อายุที่มากขึ้น การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และประวัติครอบครัวที่มีโรคหัวใจ
การวินิจฉัยโรคหัวใจสามารถทำได้ด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) การทดสอบการออกกำลังกาย หรือการตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง อาจเริ่มต้นด้วยการรับประทานยาเพื่อช่วยขยายหลอดเลือดหรือใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด หรือในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดบายพาส
การป้องกันโรคหัวใจสามารถทำได้ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ และการควบคุมน้ำหนัก
การแยกแยะระหว่างอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากโรคหัวใจกับกรดไหลย้อนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้งสองมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่ความรุนแรงและการรักษาจะแตกต่างกันอย่างมาก หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกที่สงสัยว่าอาจเกิดจากหัวใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่ถูกต้องทันที การดูแลสุขภาพหัวใจและระบบย่อยอาหารตั้งแต่แรกจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น