โรคไอกรน ภัยร้ายของเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ต้องระวัง

โรคไอกรนในเด็ก: อาการ สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย แต่จะมีความรุนแรงสูงขึ้นในเด็กเล็กที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบหรือยังไม่มีภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี รวมถึงผู้สูงอายุที่มีร่างกาย ในกลุ่มของเด็กเล็กหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีอาการไอแห้งๆ และไข้ต่ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้ลูกได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น



อาการของโรคไอกรน

โรคไอกรนมีระยะฟักตัวประมาณ 7-10 วัน และอาจยาวนานได้ถึง 20 วัน โดยอาการของโรคสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้:


1. ระยะน้ำมูก (Catarrhal Stage)

อาการ: ช่วงเริ่มต้นอาการคล้ายไข้หวัด มีไอ น้ำมูก ตาแดง น้ำตาไหล และอาจมีไข้ต่ำๆ


ระยะเวลา: อาการนี้มักอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์


การแพร่เชื้อ: เป็นช่วงที่มีการแพร่เชื้อได้มากที่สุด


2. ระยะไอรุนแรง (Paroxysmal Stage)

อาการ: ไอเป็นชุดๆ ไอติดกันจนหยุดหายใจ หน้าเขียว หรือไอจนอาเจียน เด็กเล็กอาจมีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย


ระยะเวลา: ช่วงนี้มักกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านี้ในบางกรณี


3. ระยะฟื้นตัว (Convalescent Stage)


อาการ: อาการไอจะค่อยๆ ลดลง ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์


ระยะเวลา: ระยะทั้งหมดของโรคนี้จะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 6-10 สัปดาห์ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน


สาเหตุและการแพร่เชื้อของโรคไอกรน

โรคไอกรนเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งส่งผ่านละอองฝอยของน้ำมูก น้ำลาย หรือไอจาม ผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการรุนแรง แต่สามารถเป็นพาหะนำโรคไปสู่เด็กเล็กที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันได้


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

โรคไอกรนสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ภาวะที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  1. ปอดอักเสบ: เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของโรคนี้
  2. ภาวะหยุดหายใจ: โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน
  3. เลือดออกในเยื่อบุตา: เกิดจากการไอรุนแรง
  4. อาการชัก: พบได้น้อยแต่ยังมีความเสี่ยง

การวินิจฉัยโรคไอกรน

การวินิจฉัยโรคไอกรนที่แม่นยำต้องใช้การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูก ซึ่งอาจทำได้ยากในบางสถานพยาบาล นอกจากนี้ยังมีวิธีตรวจด้วยเทคนิค PCR เพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและมักทำได้ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่


การรักษาโรคไอกรน

การรักษาโรคไอกรนส่วนใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะ โดยผลการรักษาจะดีที่สุดเมื่อเริ่มให้ยาในช่วง 3-4 วันแรกที่มีอาการ

  1. หากเริ่มรักษาในช่วงหลัง อาจช่วยลดการแพร่เชื้อได้ แต่ไม่สามารถทำให้อาการของโรคหายเร็วขึ้นมากนัก
  2. ผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีอาการรุนแรงอาจต้องได้รับการดูแลในโรงพยาบาล

การป้องกันโรคไอกรน

การป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการฉีดวัคซีน โดยสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยได้แนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนดังนี้:


ตารางการฉีดวัคซีนในเด็ก

    1. อายุ 2 เดือน
    2. อายุ 4 เดือน
    3. อายุ 6 เดือน
    4. กระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 18 เดือน
    5. กระตุ้นอีกครั้งที่อายุ 4-6 ปี

การฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์

หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและส่งต่อภูมิคุ้มกันไปยังทารก


การฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กเล็ก

เพื่อป้องกันการนำเชื้อสู่เด็กเล็ก แนะนำให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่อาศัยร่วมกับเด็กเล็กได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน


ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม

  1. หากลูกมีอาการไอเรื้อรังนานเกิน 2-3 สัปดาห์ ควรรีบพาไปพบแพทย์
  2. หลีกเลี่ยงการให้เด็กเล็กอยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการไอหรือไข้หวัด
  3. ส่งเสริมการล้างมือและรักษาความสะอาดในบ้านเพื่อลดการแพร่เชื้อ

การรู้เท่าทันโรคและดูแลลูกน้อยด้วยการป้องกันที่เหมาะสมจะช่วยให้พวกเขาปลอดภัยจากโรคไอกรน และเติบโตได้อย่างแข็งแรง