HPV (Human papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อไวรัส HPV ต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งอื่นๆ ที่เกิดได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ไวรัสชนิดนี้มีหลายร้อยสายพันธุ์ ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่าย หากสัมผัสโดยตรงก็สามารถติดเชื้อได้ โดยเชื้อ HPV ตามที่เราเข้าใจนั้นเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกที่พบมากเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งตับในมะเร็งสตรีของไทยก็จริง แต่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นที่ควรฉีดวัคซีน HPV คุณผู้ชาย หรือแม้แต่กลุ่ม LGBTQ+ ก็ควรได้รับวัคซีน HPV เช่นกัน เพราะหากติดเชื้อแล้วอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ เช่น มะเร็งทวารหนัก มะเร็งลำคอ มะเร็งปาก โรคหูดหงอนไก่ เป็นต้น
โดยวัคซีน HPV สามารถฉีดได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 – 45 ปี และฉีดได้ทั้งคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ค่ะ ถึงแม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสวมถุงยางอนามัยจะช่วยได้ แต่ไม่มากไปกว่าการฉีดวัคซีน HPV แน่นอน
โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV มีหลายโรคส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็สามารถติดเชื้อไวรัส HPV และนำไปสู่การเป็นโรคเหล่านี้ได้
มะเร็งปากมดลูกพบมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ในประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ถึงปีละประมาณ 8,200 คน ครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิตภายในเวลา 5 ปี ในแต่ละวันมีหญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกถึงวันละ 12 คน
ไวรัส HPV ชนิดก่อมะเร็ง มี14 สายพันธุ์ ทําให้เป็นโรคร้ายมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด โดยสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึงประมาณร้อยละ 70 รองลงมาคือ สายพันธุ์ 45, 31 และ 33
มะเร็งทวารหนัก จัดเป็นมะเร็งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งทวารหนัก ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่หนัก มีประวัติเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เปลี่ยนคู่นอนบ่อย และการมีเพศสัมพันธ์ผ่านทางทวารหนักโดยไม่ป้องกัน
มะเร็งช่องปากและลำคอ เป็นอีกหนึ่งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือการทำ Oral Sex
โดยอาการของโรคมะเร็งช่องปากและลำคอ คือ มีอาการเจ็บคอเป็นเวลานาน ปวดหู เสียงแหบ ต่อมน้ำเหลืองบวม และน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
โรคหูดที่อวัยวะเพศหรือที่เรียกว่า “หูดหงอนไก่” (Genital warts) เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง
โดยสาเหตุหลักของการเกิดโรคหูดที่อวัยวะเพศก็คือการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งระหว่างอวัยวะเพศชายกับช่องคลอด อวัยวะเพศชายกับทวารหนัก และทางช่องคลอดกับช่องคลอด รวมไปถึงการทำออรัลเซ็กส์จากผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HPV ด้วย
การตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัส HPV สามารถตรวจได้ด้วยวิธีแป๊บสเมียร์ (Pap Smear) ลิควิดเบส (Liquid Base) และ HPV DNA Test ทั้งหมดนี้จะเป็นการเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูก บริเวณองคชาตหรือปากทวารหนัก ไปส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี และฉีดวัคซีน HPV ป้องกันไว้
ปัจจุบันประเทศไทยมีวัคซีน HPV ให้เลือกฉีดทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่
วัคซีน HPV ชนิด 2 สายพันธุ์ (Human Papillomavirus 2 - Valent Vaccine) ช่วยป้องกันเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง* 16 และ 18
วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ (Human Papillomavirus 4 - Valent Vaccine) ช่วยป้องกันเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง 16 และ 18 รวมถึงสายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ** 6 และ 11
วัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ (Human Papillomavirus 9 - Valent Vaccine) ช่วยป้องกันเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 รวมถึงสายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ 6 และ 11
*เชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง หมายถึง สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปาก และมะเร็งลำคอ
** เชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ หมายถึง สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ หรือโรคหูดที่อวัยวะเพศได้
จะเห็นได้ว่า วัคซีน HPV ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับใครเพียงเท่านั้น เราต่างก็ล้วนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ได้เหมือนกัน อีกทั้งโรคจากเชื้อไวรัส HPV ส่วนใหญ่ยังเป็นโรคในกลุ่มโรคมะเร็งที่สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้ด้วย การที่เราฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพนะ