นมแม่เป็นเหมือนขุมพลังที่มีค่าของเจ้าตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก โดยเฉพาะในช่วงวันแรกๆ หลังการคลอด ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำอย่างหนักแน่นว่า ทารกควรได้รับน้ำนมแม่เต็มที่ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ขวบ โดยเฉพาะนมแม่ในช่วง 1-3 วันแรกนี้ หรือที่เรียกว่า "น้ำนมเหลือง" ที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญเพราะมีแลคโตเฟอร์รินสูง
แลคโตเฟอร์รินคือโปรตีนที่พบได้มากในน้ำนมเหลือง หรือที่เรียกว่าน้ำนมระยะแรก ซึ่งมีหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคร้ายจากแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของลูกให้แข็งแรงเหมือนเกราะป้องกันชั้นเยี่ยม
น้ำนมแม่เป็นผลิตผลที่ไม่เพียงแต่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังแบ่งออกเป็น 3 ระยะตามการเจริญเติบโตของลูก ซึ่งทุกระยะล้วนเป็นสิ่งมีค่าทางโภชนาการ
การให้นมแม่นั้นนอกจากจะมีประโยชน์เหมือนวัคซีนหยดแรกที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแล้ว ยังมีผลดีที่น่าเหลือเชื่อต่อลูกน้อยในหลายด้าน ไม่เพียงแต่ช่วยลดโอกาสติดเชื้อ แต่ยังส่งเสริมพัฒนาการด้านสมองและสร้างความผูกพันที่แนบแน่นระหว่างแม่และลูก นอกจากนี้สำหรับตัวคุณแม่เองยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และโรคเบาหวาน ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
ตามที่องค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟแนะนำว่า คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอดและให้ต่อเนื่องตลอด 6 เดือนแรกโดยไม่ต้องเสริมอาหารอื่นๆ จากนั้นควรให้นมแม่ควบคู่กับอาหารเสริมที่เหมาะสมต่อไปจนถึงอายุ 2 ขวบหรือนานกว่านั้น
ในช่วงลาคลอดที่คุณแม่สามารถให้นมลูกได้เต็มที่เป็นเวลา 3 เดือน ถือเป็นโอกาสทอง แต่เมื่อถึงเวลาต้องกลับไปทำงาน การเตรียมตัวเพื่อให้ลูกยังคงได้กินนมแม่ต่อไปถือเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ควรเริ่มเก็บสต๊อกนมไว้ตั้งแต่เดือนแรก โดยบีบหรือปั๊มนมเก็บไว้ให้ลูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อถึงเวลาที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงาน