คลอดธรรมชาติกับผ่าคลอดต่างกันยังไง

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์การจะเลือก “คลอดธรรมชาติ” หรือ “ ผ่าคลอด” ในคุณแม่มือใหม่หรือคุณแม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ มาก่อนอาจจะสงสัย ว่าควรเลือกคลอดแบบไหนกันนะ ที่จะเจ็บน้อยกว่ากัน หรือเป็นวิธีการคลอดที่เหมาะสำหรับตัวเอง การจะเลือกได้ก็ต้องตัดสินใจจากปัจจัยต่างที่ รวมทั้งคุณแม่ ลูกน้อยในครรภ์ รวมถึงคุณพ่อ และที่สำคัญเลยคือคำแนะนำของแพทย์ ก่อนอื่นเรามารู้จักการคลอดทั้ง 2 วิธีนี้กันก่อน



การคลอดธรรมชาติ (Normal Delivery หรือ Normal Labor)

คือ การคลอดทารกผ่านทางช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่องค์การอนามัยโลกแนะนำเนื่องจากมีความปลอดภัยต่อแม่และลูกมาก และมีภาวะแทรกซ้อนน้อย วิธีนี้เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายมีความพร้อม เช่น อุ้งเชิงกรานกว้าง ทารกอยู่ในท่ากลับหัวแล้ว ทารกตัวไม่ใหญ่มากจนเสี่ยงภาวะคลอดติดไหล่ (Shoulder Dystocia)


การผ่าคลอด หรือการผ่าตัดคลอด (Cesarean Section หรือ C-Section)

คือ การผ่าตัดเปิดหน้าท้องและมดลูกเพื่อนำทารกออกจากถุงน้ำคร่ำ เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีข้อบ่งชี้ทางสุขภาพที่ตรวจพบมาก่อน เช่น ภาวะรกเกาะต่ำ ครรภ์เป็นพิษ อุ้งเชิงกรานแคบ ทารกไม่กลับหัว หรือมีความจำเป็นต้องคลอดเร่งด่วน เพื่อช่วยชีวิตแม่และทารกไว้ก่อน เช่น การคลอดก่อนกำหนด คลอดธรรมชาติแล้วยังไม่สามารถคลอดได้สำเร็จ ที่เรียกว่า “ภาวะคลอดเนิ่นนาน” จะเห็นได้ว่า คลอดธรรมชาติกับผ่าคลอดมีข้อบ่งชี้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการที่จะบอกว่า การคลอดวิธีไหนดีกว่ากันนั้นจึงต้ัองพิจารณารายละเอียดเป็นอย่างๆ ไป


เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของคลอดธรรมชาติ และผ่าคลอด

ค่าใช้จ่าย

  • คลอดธรรมชาติ ค่าใช้จ่ายไม่สูง
  • ผ่าคลอด ค่าใช้จ่ายสูง

 กำหนดเวลาคลอดและระยะเวลาในการคลอด

  • คลอดธรรมชาติ กำหนดวันเวลาได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกายแม่ เช่นปากช่องคลอดเปิดกว้างมากพอหรือยัง ด้วยเหตุนี้จึงใช้ระยะเวลาในการคลอดนาน
  • ผ่าคลอด กำหนดวันเวลาได้แน่นอน หรือฤกษ์ยามในการลืมตาดูโลกของลูกได้ ทำให้สามารถวางแผนเตรียมการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และใช้เวลาในการคลอดเพียง 45-1 ชั่วโมง

 ความเสี่ยงและโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด

  • คลอดธรรมชาติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
  • ผ่าคลอด การผ่าตัดมีโอกาสพลาดลงมีดไปโดนอวัยวะอื่นที่อยู่ข้างเคียง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ การระงับความรู้สึกและภาวะจากการผ่าตัดได้ เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน

 ผลกระทบต่อสุขภาพทารก

  • คลอดธรรมชาติ ลูกจะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่อยู่ในช่องคลอดของแม่ผ่านทางปากสู่ลำไส้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานโรค ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคหอบหืด ภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้การคลอดธรรมชาติยังช่วยรีดของเหลวออกจากปอดของทารก จึงไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการหายใจตามมา เช่น การหายใจเร็ว เหนื่อยหอบ
  • ผ่าคลอด ลูกจะไม่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่อยู่ในช่องคลอดของแม่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ และเจ็บป่วยได้ง่าย รวมทั้งทารกยังมีโอกาสขาดออกซิเจน ตัวเขียวได้

การฟื้นตัวหลังคลอด

  • คลอดธรรมชาติ เสียเลือดน้อย คุณแม่จึงอ่อนเพลียไม่มาก ไม่เหนื่อยจนเกินไป ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว
  • ผ่าคลอด เสียเลือดมากเป็นสองเท่าของการคลอดธรรมชาติ จึงอ่อนเพลียมากกว่าและต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นตัว

 ความพร้อมในการให้นม

  • คลอดธรรมชาติ หากแม่ไม่มีภาวะสุขภาพใดๆ สามารถให้นมทารกได้ทันทีภายใน 30 นาทีหลังคลอด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้มต่อมน้ำนมแม่ให้เริ่มทำงาน
  • ผ่าคลอด แม่ต้องได้รับการพักฟื้นดีก่อนจึงสามารถให้นมลูกได้

 การดูแลแผล

  • คลอดธรรมชาติ บาดแผลที่เกิดขึ้นจากการคลอดบริเวณฝีเย็บจะมีขนาดเล็กจึงสมานตัวได้เร็ว และมีโอกาสติดเชื้อน้อยมาก
  • ผ่าคลอด มีบาดแผลขนาดใหญ่ที่หน้าท้องและมดลูก หลังคลอดจำเป็นต้องดูแลแผลอย่างดี ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการอักเสบ ติดเชื้อ แผลปริ แผลแยก รวมทั้งต้องดูแลแผลเป้นที่หน้าท้องด้วย

 ความเสี่ยงในคลอดครั้งต่อๆ ไป

  • คลอดธรรมชาติ ลดโอกาสการเกิดรกเกาะต่ำ รกติดแน่น ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อๆ ไปได้
  • ผ่าคลอด หากเป็นการผ่าตัดคลอดที่มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไปมีโอกาสจะมีพังผืดในช่องท้องค่อนข้างมาก และการผ่าตัดในครั้งต่อไปจะยากขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสเกิดภาวะรกเกาะต่ำ รกเกาะติดแน่น และหากเจ็บท้องคลอดมากๆ มดลูกแตกมีโอกาสแตกได้มากขึ้น

คลอดแบบไหนเจ็บกว่า?

การคลอดธรรมชาติจะมีช่วงเวลาในการเจ็บท้องนานหลายชั่วโมง เนื่องจากมดลูกบีบตัวเป็นระยะๆ นั่นเอง จากนั้นต้องรอให้ปากมดลูกเปิดกว้างมากพอก่อนจึงจะคลอดได้ เมื่อถึงเวลาคลอด คุณหมอจะกรีดฝีเย็บเพื่อให้สะดวกแก่การคลอด ซึ่งขั้นตอนนี้แม่ส่วนใหญ่แทบไม่รู้สึกเจ็บเพราะจดจ่ออยู่กับการเบ่งคลอด และการปวดท้องคลอดมากกว่า จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในขั้นตอนการเย็บแผลเท่านั้น บางรายอาจต้องได้รับยาชาในขั้นตอนนี้ ส่วนการผ่าคลอดจะช่วยลดระยะเวลาในการเจ็บท้องจึงเจ็บท้องน้อยกว่า ในขณะผ่าคลอดแม่จะได้รับการดมยา หรือการระงับความรู้สึก ซึ่งทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดนั่นเอง จนกว่าเมื่อยาชาหมดฤทธิ์จึงเริ่มเจ็บแผลมากขึ้นตามลำดับ อาการเจ็บปวดนี้จะคงอยู่หลายวันจนกว่าแผลจะสมานตัวติดกันดีแล้ว อีกทั้งแม่ยังหมั่นเคลื่อนไหวบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพังผืด และต้องระมัดระวังการออกแรง การยกของ เพราะอาจทำให้แผลแยก แผลปริแตกได้



แพ็กเกจคลอดราคาเหมาๆ เบาใจ คลิ๊ก